....ขอเชิญร่วม.....ปิดทองรูปเหมือนอดีตเจ้าอาวาส..... วัดหน้าพระบรมธาตุ ....... ...มีวัตถุมงคล...รุ่นพิเศษ.............................อนุญาตุให้บทความทั้งหมดเป็นสาธารณะ.......

22 เม.ย. 2554

นิทานธรรมบท เรื่องพระเทวทัต

เรื่องพระเทวทัต
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันกรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัต ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 17 นี้

ครั้ง หนึ่งพระเทวทัตพำนักอยู่กับพระศาสดาที่กรุงโกสัมพี ขณะที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้นพระเทวทัตมีความตระหนักว่าพระศาสดาทรงได้รับความเคารพ ความนับถือและลาภจากประชาชนมาก จึงมีความริษยาพระศาสดาและมีความปรารถนาอยากเป็นประมุขสงฆ์ วันหนึ่งขณะที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่วัดพระเวฬุวันนครราชคฤห์ ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่าพระองค์ทรงชราภาพแล้วควรจะได้ถ่ายโอนความรับ ผิดชอบคณะสงฆ์ให้แก่พระเทวทัตเสีย พระศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอของพระเทวทัตโดยตรัสว่าพระเทวทัตเป็น “บุคคลกลืนกินน้ำลายของผู้อื่น” ต่อมาพระศาสดาได้ทรงขอให้พระสงฆ์ดำเนินการ “ประกาศนียกรรม” (ทำนองลอยแพไม่คบหาสมาคมด้วย)ต่อพระเทวทัต


พระ เทวทัตมีความเดือดร้อนและประกาศว่าจะทำการแก้เผ็ดพระศาสดา ท่านได้พยายามสังหารพระศาสดาถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกไปว่าจ้างนายขมังธนูให้มาลอบยิง ครั้งที่สองขึ้นไปกลิ้งหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อจะให้ทับพระศาสดา และครั้งที่สามปล่อยช้างนาฬาคิรีให้เข้าทำร้าย ทว่านายขมังธนูไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาได้และได้เดินทางกลับไปหลังจากที่ได้ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาจนได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว หินที่กลิ้งลงมาจากเขาคิชฌกูฏไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาเพียงแต่มีสะเก็ดหิน แตกมากระทบแค่ทำให้พระโลหิตห้อเท่านั้น และเมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งมาจะทำร้ายพระศาสดาได้ทรงแผ่เมตตาให้จนช้างนั้น เชื่อง แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ละความพยายาม ได้พยายามหาเล่ห์เพทุบายอย่างอื่น โดยได้พยายามทำลายสงฆ์ด้วยการแยกพระบวชใหม่จำนวนหนึ่งไปอยู่ที่คยาสีสะ แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดพระเหล่านี้ได้ถูกพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ พากลับมาได้สำเร็จ


ต่อมาพระเทวทัตอาพาธหนัก เมื่อท่านอาพาธอยู่ได้ 9 เดือนก็ได้ขอให้สานุศิษย์พาท่านมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา พวกศิษย์จึงหามท่านมาขึ้นแคร่ที่วัดพระเชตวัน เมื่อพระศาสดาได้สดับว่าพระเทวทัตถูกหามมาเฝ้าก็ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พระเทวทัตไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้าพระองค์

เมื่อพระเทวทัตและคณะเดิน ทางมาถึงที่สระในบริเวณพระเชตวัน พวกศิษย์ที่ทำหน้าหามได้วางแคร่ลงที่ริมสระและได้ลงไปอาบน้ำกันอยู่นั้น พระเทวทัตได้ลุกขึ้นจากแคร่แล้ววางเท้าลงที่พื้นดิน พลันเท้าทั้งสองข้างของท่านก็ถูกธรณีสูบจมหายลงไปในแผ่นดิน ที่พระเทวทัตไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระศาสดาก็เพราะกรรมชั่วที่ท่านได้กระทำต่อ พระศาสดา หลังจากถูกธรณีสูบแล้วพระเทวทัตได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี อันเป็นนรกที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่อง



จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 17 ว่า

อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ

ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ

ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ

ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโตฯ


คนทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง

คือย่อมเดือดร้อนในโลกนี้

ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า

เขาเดือดร้อนในขณะมีชีวิตว่าเราทำบาปไว้แล้ว

เมื่อไปสู่ทุคคติก็ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้นอีก.


เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากบรรลุพระโสดาบันเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.
ข้อมูลโดย วิโรจน์ ไผ่ย้อย สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น